![]()
รูปที่ 8.5 การปฏิสนธิ
|
การปฏิสนธิเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญที่สุดในกระบวนการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
การปฏิสนธิในคนมิได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการร่วมเพศ
จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการตกไข่เกิดขึ้นพอดีในเพศหญิง
การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นเมื่อเมื่อหญิงย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือเริ่มมีประจำเดือน
โดยมีไข่สุกและออกจากรังไข่แล้วไข่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ท่อนำไข่
ในขณะนี้ถ้ามีการร่วมเพศจำนวนอสุจิของชายจำนวนหลายล้านตัวจะแหวกว่ายผ่านปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูกจนถึงท่อนำไข่
และจะมีอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เข้าผสมกับไข่ที่
![]()
รูปที่ 8.6 แสดงการเจริญของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว
|
บริเวณท่อนำไข่ตอนปลายใกล้กับรังไข่ได้
เมื่อตัวอสุจิตัวหนึ่งสามารถเข้าผสมกับไข่ได้แล้วเยื่อหุ้มเซลล์ของไข่จะหนาขึ้น
ทำให้ตัวอสุจิตัวอื่น ๆ ไม่สามารถเข้ามาผสมได้อีก และภายในเวลา 10 – 12 ชั่วโมง
นิวเคลียสของตัวอสุจิจะรวมเข้ากับนิวเคลียสของไข่เกิดการปฏิสนธิขึ้น
การปฏิสนธิจึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
ภายหลังการปฏิสนธิประมาณ
30 – 37 ชั่วโมง
ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วซึ่งเรียกว่าไซโกต (Zygote) จะเริ่มแบ่งเซลล์จาก 1 เซลล์ เป็น 2
เซลล์ จาก 2 เซลล์ เป็น 4 เซลล์ แล่แบ่งต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เป็นกลุ่มเซลล์
กลุ่มเซลล์ดังกล่าวนี้จะเคลื่อนที่ไปยังผนังมดลูกซึ่งหนาตัวขึ้นเพื่อเตรียมการรองรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสม
และภายในเวลา 6 – 7 วัน กลุ่มเซลล์ก็จะฝังตัวบริเวณผนังมดลูก
กลุ่มเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงถึงระยะนี้เรียกว่า เอ็มบริโอ (Embryo) หรือ ตัวอ่อน อย่างไรก็ตามในบางกรณีซึ่งไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วไปฝังตัวที่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่มดลูก
เช่น บริเวณช่องท้อง บริเวณปีกมดลูก ซึ่งเรียกว่า ท้องนอกมดลูก การท้องนอกมดลูกมีผลทำให้ผู้เป็นแม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
และต้องรีบพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจมีอันตายถึงชีวิตได้
เมื่อตัวอ่อนมาฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้วในระยะนี้จะมีการพัฒนาอวัยวะพิเศษของตัวอ่อน
อวัยวะนั้นก็คือ รก (Placenta) ซึ่งมีลักษณะเป็นร่างแหหลอดเลือดหนา
รกจะทำหน้าที่ดูดซึมอาหารและออกซิเจนจากผนังมดลูกแม่ส่งมาเลี้ยงตัวอ่อน
และเป็นช่องทางขับถ่ายของเสียของตัวอ่อนด้วย
หลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูกแล้วก็จะมีการพัฒนาอวัยวะต่าง
ๆ และเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อย ๆ ดังแสดงในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 8.1 แสดงขั้นตอนการเจริญเติบโตของทารกในระหว่างการตั้งครรภ์
อายุ (สัปดาห์)
|
ลักษณะของทารก
|
การเจริญเติบโต
|
3
|
![]() |
เริ่มมีหัวใจ
สมอง และไขสันหลัง
|
4
|
![]() |
เริ่มมีตา
ปุ่มแขนขา หัวใจเจริญมากขึ้น
|
5
|
![]() |
อวัยวะต่าง
ๆ เจริญมากขึ้น
|
6
|
![]() |
เริ่มมีหู
|
7
|
![]() |
เริ่มมีเพดานในช่องปาก
|
8
|
![]() |
เริ่มปรากฏอวัยวะเพศภายนอก
เริ่มมีอวัยวะต่าง ๆ เหมือนคน
กระดูกภายในร่างกายเปลี่ยนแปลงจากกระดูกอ่อนเป็นกระดูกแข็ง
เอ็มบริโอระยะนี้เรียกว่า ฟีตัส (Fetus)
|
12
|
![]() |
ฟีตัสเริ่มมีการเคลื่อนไหวส่วนแขน ขา
อวัยวะหายใจเริ่มปรากฏแต่ยังไม่ทำหน้าที่ เริ่มเห็นรอยนิ้วมือ นิ้วเท้า
กลืนของเหลวในถุงน้ำคร่ำได้ ระบบขับถ่ายเจริญอย่างรวดเร็ว
|
16
|
![]() |
ฟีตัสมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
มีการเจริญของกระดูกแข็ง
|
20 – 36
|
![]() |
ฟีตัสมีการเจริญเติบโตเพิ่มมากขึ้น
เพราะมีการสะสมไขมันเพิ่มมากขึ้น ระบบประสาทมีการเจริญมาก มีไขเคลือบทั่วตัว
และอวัยวะต่าง ๆ เจริญเติบโตเกือบเต็มที่
|
38
|
![]() |
ฟีตัสเจริญเติบโตเต็มที่
|
ขณะที่ทารกเจริญอยู่ในครรภ์
ทารกจะอาศัยอยู่ในถุงน้ำครำซึ่งช่วยป้องกันทารกจากอันตรายต่างๆ ได้ดี
และทารกจะได้รับอาหารและอากาศโดยผ่านทางรก
ซึ่งเป็นส่วนที่ติดต่อกับมดลูกของแม่มีหลอดเลือดจากแม่มาเลี้ยงบริเวณรกนี้มากมาย
หลอดเลือดจากรกจะเชื่อมต่อกับตัวทารกทางสายสะดือ
ดังนั้นรกจึงเป็นทางผ่านเข้าออกของอาหาร อากาศ ของเสียจากทารกอยู่ตลอดเวลา
![]()
รูปที่ 8.6 ทารกในครรภ์
|
นอกจากอาหารและอากาศซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและรอดชีวิตของทารกในครรภ์แล้ว
อารมณ์ของผู้เป็นแม่ขณะตั้งครรภ์ก็มีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ด้วย
ดังนั้นผู้ที่กำลังตั้งครรภ์นอกจากจะต้องบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงโดยการกินอาหารที่มีประโยชน์
งดเว้นสิ่งเสพย์ติดทั้งหลายแล้วยังต้องทำจิตใจให้แจ่มใสอีกด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อทารกที่อยู่ในครรภ์จะได้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
ขณะเดียวกันผู้ที่กำลังจะเป็นพ่อก็ควรให้ความเอาใจใส่และทะนุถนอมน้ำใจของผู้ที่จะเป็นแม่ด้วย
เมื่อทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์จนกระทั่งมีอายุประมาณ
38 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน หรือ 280 วัน นับจกวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย
ซึ่งถือเป็นช่วงครบกำหนดคลอด รกจะเริ่มเสื่อมสลายตัว ทารกเตรียมพร้อมที่จะคลอด
และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวแม่โดยฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกบีบตัว
ประกอบกับการหดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้องทำให้ปากมดลูกเปิด ถุงน้ำคร่ำแตก
มดลูกบีบตัวอย่างแรงดันให้ทารกออกมาทางช่องคลอด
โดยปรกติส่วนของศีรษะของทารกจะโผล่ป่านปากช่องคลอดออกมาก่อน
หลังจากทารกคลอดออกมาแพทย์ผู้ทำการคลอดจะต้องผูกสายสะดือให้แน่นทั้งด้านตัวแม่และด้านตัวลูกก่อนที่จะตัดสายสะดือ
เพื่อป้องกันการสูญเสียเลือดจากตัวแม่และตัวลูก หลังจากทารกคลอดออกมาประมาณ 10 – 15 นาที มดลูกจะบีบตัวให้รกหลุดออกมา
ภายหลังจากการคลอดต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกมาเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำนม
และต่อมาจากนั้น 2 – 3 วัน
มารดาจะมีน้ำนมซึ่งมีลักษณะขุ่นเล็กน้อยสีค่อนข้างเหลือง เรียกว่า น้ำนมน้ำเหลือง ซึ่งมีส่วนผสมต่างจากน้ำนมธรรมดาตรงที่มีไขมันน้อยกว่าหรือไม่มีไขมันเลย
น้ำนมน้ำเหลืองนี้เป็นน้ำนมชุดแรกที่มารดาผลิตขึ้น
มีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารสูงมากเหมาะสำหรับทารก หลังจากนั้นประมาณวันที่ 3 – 4 หลังคลอด จึงมีการผลิตน้ำนมธรรมดา
เมื่อเราเปรียบเทียบน้ำนมวัวซึ่งเป็นน้ำนมที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
สามารถใช้เลี้ยงทารกแทนน้ำนมแม่ได้
กับน้ำนมแม่จะพบส่วนประกอบที่แตดต่างกันดังแสดงในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 8.2
เปรียบเทียบส่วนประกอบของน้ำนมแม่กับน้ำนมวัว
|
||
ส่วนประกอบที่สำคัญ
|
ความเข้มข้นเฉลี่ย (กรัม/100 ซม3)
|
|
น้ำนมแม่
|
น้ำนมวัว
|
|
น้ำ
|
88.7
|
87.5
|
น้ำตาล
|
7.0
|
4.8
|
ไขมัน
|
3.8
|
3.7
|
โปรตีน
|
1.2
|
3.3
|
แร่ธาตุ
|
0.2
|
0.7
|
จากตารางถึงแม้ว่าน้ำนมวัวจะมีส่วนประกอบหลายอย่างที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าน้ำนมแม่ก็ตาม
แต่แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่มากกว่าน้ำนมวัว
ทั้งนี้เพราะน้ำนมแม่มีข้อดีหลายประการ คือ
1.
น้ำนมแม่มีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของทารก
และยังเหมาะต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ด้วย
ปริมาณโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าน้ำนมวัวแต่ก็เป็นโปรตีนที่สามารถย่อยและดูดซึมเข้าไปใช้ได้หมด
ถ้าทารกระยะ 2 – 3 เดือนแรกได้รับโปรตีนมากเกินไป
ตับจะเปลี่ยนโปรตีนที่มีเกินพอให้เป็นยูเรียไนโตรเจน
ทำให้ระดับยูเรียไนโตรเจนในเลือดสูงขึ้นและจะขับออกทางไตทำให้ไตต้องทำงานหนัก
ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดภาวะไตโตได้ ฉะนั้นปริมาณโปรตีนที่มีมากเกินไปในน้ำนมวัว
อาจทำให้ทารกที่กินน้ำนมวัวมีอาการดังกล่าวได้
2.
น้ำนมแม่ไม่มีโปรตีนชนิดที่เรียกว่าเบต้าแลคโตโกลบูลิน (b - Lacto globulin) ซึ่งโปรตีนชนิดนี้พบมากในน้ำนมวัว
และเชื่อว่าเป็นต้นต่อสำคัญที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในทารกและเด็กที่ดื่มน้ำนมวัว
3.
น้ำนมแม่มีกรดไขมันที่จำเป็น ได้แก่ กรดไลโนเลอิก
ซึ่งมีปริมาณมากในน้ำนมแม่คือ 8 – 10 % ของไขมันทั้งหมด ในขณะที่น้ำนมวัวมีประมาณ 2 %
เท่านั้น
4.
น้ำนมแม่มีเอนไซม์ไลเพสอยู่ด้วย
เอนไซม์นี้เมื่อได้รับการกระตุ้นจากเกลือน้ำดีจะช่วยให้การย่อยและการดูดซึมไขมันในน้ำนมดีกว่านมผสม
5.
ในน้ำนมแม่มีแล็กโทสสูงกว่าน้ำนมวัว ประโยชน์ของการมีแล็กโทสสูงก็คือ
ทำให้ทารกที่ดื่มน้ำนมแม่มีอุจจาระเป็นกรด
ทำให้การถ่ายอุจจาระเป็นปรกติมีสีเหลืองทองและมีกลิ่นเป็นกรด
ต่างจากการดื่มน้ำนมวัวซึ่งทำให้อุจจาระแข็ง สีซีดและมีกลิ่นเหม็น
6.
การดื่มน้ำนมแม่ประหยัด สะดวก สะอาดและปลอดภัย เพราะไม่ต้องซื้อ
และตัดปัญหาเรื่องความสะอาดของขวดนม จุกนม และอุปกรณ์ในการเตรียมนมผสม
เพียงแต่เช็ดหัวนมให้สะอาดด้วยผ้าหรือสำลีชุบน้ำเป็นอันใช้ได้
เพราะการเตรียมหรือการผสมน้ำนมมักจะทำไม่ถูกต้องหรือไม่สะอาด
จึงเป็นเหตุให้ทารกเกิดโรคท้องเสียและโรคขาดสารอาหารตามมา
ซึ่งโรคท้องเสียในทารกต่ำกว่า 1 ปี เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้ทารกวัยนี้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือทำให้ทารกต้องตายไป
7.
น้ำนมแม่มีภูมิต้านทานโรคติดเชื้อทารกที่ได้รับการเลี้ยงด้วยน้ำนมแม่จะมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
มีการเจ็บป่วยเป็นโรคติดเชื้อน้อยโดยเฉพาะโรคที่เป็นปัญหาในทารกคือ โรคท้องเสีย
โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคหูน้ำหนวก ทั้งนี้เพราะน้ำนมแม่สะอาด
น้ำนมแม่มีเม็ดเลือดขาวซึ่งคอยทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
น้ำนมน้ำเหลืองจะมีเม็ดเลือดขาวมากกว่า
นอกจากนี้น้ำนมแม่มีสารที่ทำให้เกิดภูมิต้านทาน
และมีสารที่สามารถฆ่าเชื้อโรคอย่างอ่อน ๆ(Lysoxyme) ซึ่งช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
8.
น้ำนมแม่มีผลต่อสภาวะจิตใจ จะมีผลดีทั้งแม่และลูก การให้ลูกดูดนมทำให้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
สบายใจและภาคภูมิใจทั้งแม่และลูก
9.
การให้ลูกดูดนมแม่เป็นผลดีต่อตัวแม่เอง
แม่ที่ให้นมลูกเต็มที่จะมีภาวะขาดประจำเดือนประมาณ 8 – 12 เดือน หลังคลอด
ซึ่งเปรียบเทียบกับแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเองจะมีภาวะขาดประจำเดือน 2 – 4 เดือน
ซึ่งประโยชน์ในด้านนี้คือช่วยในการวางแผนครอบครัวโดยแม่ที่ให้น้ำนมลูกเมที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ในระยะประมาณ
7 เดือนหลังคลอด ซึ่งช่วยไม่ให้ตั้งครรภ์ถี่เกินไป
อย่างไรก็ตามแม่ที่ต้องการให้มีลูกป่างหรือไม่มีลูกอีกต่อไปควรจะหาวิธีคุมกำเนิดโดยวิธีอื่น
ๆ ซึ่งได้ผลแน่นอนกว่า
นอกจากนี้การที่ทารกดูดนมแม่จะช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งจะช่วยให้มดลูกหดตัวเข้าช่องเชิงกรานได้ดีอีกด้วย
ดังนั้นผู้เป็นแม่จึงควรกระตุ้นการหลั่งน้ำนมให้ลูกดูด
และควรเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตนเองอย่างน้อยช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือประมาณ 6
เดือนหลังคลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น